AniWaT
วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
ใบบัวบก’ อาหารสมอง
อาการขี้หลง ขี้ลืม สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน และทุกเพศทุกวัย ซึ่งอาจจะเป็นอาการเริ่มต้นของโรคความจำเสื่อมหรือไม่ก็ได้ บ้างก็ความจำสั้น บ้างก็จำได้แต่เรื่องที่ผ่านเนิ่นนานมาแล้ว แต่ก่อนที่จะเข้าใกล้โรคความจำเสื่อม ควรป้องกันด้วยโภชนาการที่ถูกต้อง
อาหารที่อุดมด้วย "วิตามินบี" จะเป็นพื้นฐานที่ช่วยบำรุงระบบประสาทให้แข็งแรงเริ่มจาก วิตามินบี 1 มีมากในข้าวกล้อง รำข้าว นม ขนมปังโฮลวีต ซึ่งวิตามินบี 1 จะช่วยย่อยคาร์โบไฮเดรต เสริมสร้างความแข็งแกร่งของจิตใจ ทำให้ระบบประสาท กล้ามเนื้อ และหัวใจทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่อาหารจำพวกปลา ปลาร้ากะปิ ตับ ไข่ นม เนื้อสัตว์ทุกชนิดนั้นจะมีวิตามินบี 12 มากซึ่ง ช่วยสร้างเม็ด เลือด ช่วยการทำงานของระบบประสาท ความทรงจำสมาธิ อย่างไรก็ตาม หากคุณวิตกกังวลว่าจะเป็นโรคความจำเสื่อมแต่ไม่สามารถทานอาหารต่างๆ เพื่อให้ได้วิตามินบีที่เพียงพอ แนะนำให้ทานวิตามินบีรวมเพียงวันละเม็ดในตอนเช้าก็น่าจะช่วยได้
หลายคนไม่เคยรู้ว่าสมุนไพรสีเขียวเข้มรสออกขมอย่าง "ใบบัวบก" ได้ถูกนำมาใช้บำบัดอาการที่เกี่ยวข้องกับสมองมาเป็นเวลานาน และให้ผลเป็นที่น่าเชื่อถือจนได้ชื่อเรียกว่า "อาหาร สมอง"
เพราะคนสมัยก่อนเชื่อว่าการทานใบบัวบกจะช่วยส่งเสริมการทำงานของสมอง โดยทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานสำรองให้กับสมอง และได้ผลดีทั้งในแง่ของการรักษาส่วนของสมองที่ถูกทำลายแล้วให้ดีขึ้น และยังป้องกันไม่ให้สมองที่เป็นปกติอยู่ถูกทำลายหรือเสื่อมลง
นอกจากนี้ยังถูกนำไปใช้ประโยชน์ในการลดความเครียดจากการทำงานหนัก ปรับปรุงระบบการรับส่งกระแสประสาท ช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงาน ทั้งในแง่ของกำลังกาย และกำลังสมองควบคุมระดับแรงดันโลหิตให้เป็นปกติ ใบบัวบกได้ชื่อว่าเป็นสมุนไพรยอดนิยมของชาวตะวันตกเลยทีเดียว แต่สำหรับคนไทยแล้วแนะนำให้ทานสดด้วยการจิ้มน้ำพริก นำมาปั่นหรือคั้นน้ำรับประทาน
อาหารอีกชนิดที่การแพทย์แผนจีนเชื่อว่าสามารถระงับอาการความจำเสื่อมได้ก็คือ "แปะก๊วย สกัด" แต่ไม่สามารถรักษาโรคอัลไซเมอร์ได้ ขณะที่เลซิตินที่ได้จากถั่วเหลืองและธัญพืชอีก หลายชนิด สามารถลดอาการหลงลืมระยะสั้น และป้องกันอัลไซเมอร์ได้ แต่ก็ไม่สามารถรักษาโรคอัลไซเมอร์ได้เช่นกัน นอกจากนี้ผักและผลไม้ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ สามารถช่วยเสริมความจำ และชะลอความเสื่อมของสมองได้ เช่น ผักโขม สาหร่ายสไปรูลินา แอปเปิล วิตามินอีแต่ยังไม่มีการศึกษาว่าต้องทานในปริมาณเท่าใดจึงจะได้ผล
หากเริ่มรู้ตัวว่าตนเองขี้หลงขี้ลืมอยู่บ่อยๆ ก็อย่าได้ชะล่าใจทีเดียว เพราะโรคความจำเสื่อมนั้นอาจกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ ป้องกันเสียแต่วันนี้ด้วยอาหารการกินที่ถูกหลักโภชนาการ ก่อนที่เวลาที่สายเกินจะลบเลือนทุกอย่างไปจากสมอง
นั่งนาน ๆ "รวยโรค" ไม่รู้ตัว
นั่งนาน ๆ "รวยโรค" ไม่รู้ตัว (ไทยโพสต์)
ใครที่ชอบนั่งทำงาน หรือนั่งจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานเกินไป พิจารณาข่าวนี้ให้ดี ๆ เพราะล่าสุดมีนักวิจัยทางการแพทย์สหรัฐออกมาบอกว่า การนั่งทำงานรวดเดียวเป็นเวลานานหลายชั่วโมง ถึงแม้จะออกกำลังกายประจำ ก็ยังเสี่ยงอายุสั้นอยู่ดี
งานวิจัยข้างต้น แพทย์หญิงกรุณา อธิกิจ อายุรกรรมทั่วไป โรงพยาบาลปิยะเวท ได้กล่าวว่า การนั่งนาน ๆ เป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ชายที่นั่งทำงานอยู่กับที่มากเกินไป เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 2 เท่า และเสียชีวิตจากโรคหัวใจเทียบกับการทำงานที่ต้องเดิน สอดรับกับการศึกษาจากสมาพันธ์มะเร็งอเมริกา ที่ทำการศึกษาถึงเวลานั่งและการออกกำลังกาย กับอัตราการเสียชีวิตองอาสาสมัครระหว่างปี 1993-2006 ของอาสาสมัครชายหญิงจำนวน 53,440 และ 69,776 คนตามลำดับ ซึ่งไม่มีใครเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ อัมพาต และโรคปอดเลย
โดยระหว่างช่วงทำการศึกษาทีมวิจัยพบว่า ยิ่งนั่งพักนานเท่าไรยิ่งเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิง มีรายงานว่าผู้หญิงที่นั่งเกินวันละ 6 ชม. เสี่ยงเสียชีวิตสูงกว่าผู้หญิงที่นั่งวันละ 3 ชม. หรือประมาณ 37 เปอร์เซ็นต์ ส่วนผู้ชายที่นั่งนานเกินวันละ 6 ชม. มีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าผู้ชายที่นั่งวันละ 3 ชม. หรือประมาณ 18 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์นี้ไม่เปลี่ยนแปลงหลังหักลบเวลาออกกำลังกาย นอกจากนั้นยังพบว่า อาสาสมัครส่วนใหญ่เสียชีวิตเพราะโรคหัวใจมากกว่าโรคมะเร็ง ดังนั้นไม่ว่าจะออกกำลังกาย 30-60 นาที แต่หากใช้เวลาที่เหลือของวันกับการนั่งนาน ๆ ย่อมมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและเสียชีวิตได้
ไม่เพียงแค่โรคหัวใจเท่านั้น การนั่งนาน ๆ ติดต่อกันหลายชั่วโมง แพทย์สาขาอายุรกรรมท่านนี้บอกต่อว่า ยังเพิ่มปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคระบบหลอดเลือด เช่น ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำส่วนลึกได้ง่าย ส่วนมากจะเกิดกับผู้โดยสารบนเครื่องบินที่ต้องบินเป็นระยะเวลานานนับสิบชั่วโมงโดยไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย หรือคนขับรถเป็นเวลานาน เสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้สูง
นอกจากนี้ยังรวมไปถึงโรคทางระบบเมตาโบลิก (ระบบการเผาผลาญพลังงานในร่างกายช้าลง) เป็นสาเหตุให้เกิดโรคน้ำหนักเกิน อ้วนลงพุง โรคเบาหวานชนิดที่สอง ระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ลดลง 20 เปอร์เซ็นต์ เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจได้สูง ตลอดจนโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคทางกระดูกและกล้ามเนื้อ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี การลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคดังกล่าวนั้น แพทย์สาขาอายุรกรรมรายนี้ แนะนำสมาชิกทุกบ้านว่าควรออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบแอโรบิกให้ได้ทุกวัน ประมาณวันละ 30-60 นาที ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและโรคอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญควรลดการเวลาการนั่งนาน ๆ ด้วยการเปลี่ยนท่วงท่า หรือเดินยืดเส้นยืดสายบ้าง
"คนที่ชอบนั่งทำงานอยู่กับที่ติดต่อกันหลายชั่วโมงควรเปลี่ยนท่าทางบ่อย ๆ โดยทุก 1 ชม. ควรใช้เวลาเดินเล่นหรือทำกิจกรรมอื่น ๆ บ้าง เช่น เดินขึ้นลงบันได 1-2 ชั้น หรือลดการพูดคุยสื่อสารทางอีเมล์ แต่ใช้การสื่อสารโดยตัวท่านเองในระหว่างเพื่อนร่วมงาน" แพทย์หญิงกรุณาฝากทิ้งท้าย
วิธีทดแทนพลังงานจากการ "อดนอน" ทำอย่างไร ??
มีวิธีดูแลร่างกายสำหรับคนอดนอน แนะนำจาก พ.ญ.ลลิตา ธีระสิริ แห่งศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี ความว่า ก่อนอื่นต้องยอมรับเสียก่อนว่าคนเราต้องนอนหลับในยามกลางคืน ไม่ใช่กลางวัน เพราะฮอร์โมนในร่างกายถูกธรรมชาติจัดสรรมาอย่างนั้น ในเวลากลางวันเมื่อมีแสงสว่าง ต่อมไพเนียล หรือต่อมเหนือสมอง จะหลั่งฮอร์โมนซีโรโตนินออกมาเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่ากระฉับ กระเฉงเพื่อกิจกรรมดำเนินในยามกลางวัน
ราวๆ 4-5 โมงเย็น ตอนแสงสว่างลดลง ซีโรโตนินก็จะลดระดับลงเพื่อเตรียมให้ร่างกายได้พัก ในขณะเดียวกันต่อมไพเนียลก็หลั่งฮอร์โมนอีกชนิดหนึ่งชื่อเมลาโตนินออกมา ระดับเมลาโตนินในร่างกายจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ง่วงนอนในกลางคืน พอถึงประมาณตี 2 เมลาโตนินจะเริ่มลดระดับลง และซีโรโตนินก็จะถูกหลั่งออกมาในยามเช้ามืด พอดีเช้าเมลาโตนินหายไป ซีโรโตนินเพิ่มขึ้นมาได้ระดับเราก็ตื่นพอดี หากอดนอนก็เท่ากับฝืนวัฏจักรของฮอร์โมนตามธรรมชาตินี้ และว่ากันว่าทำให้ร่างกายเสียสมดุลและทำให้ป่วยได้ง่าย
ทางแก้หากต้องอดนอน มีดังนี้
1.กินอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบีและซี เพราะเวลาอดนอนระดับฮอร์โมนจากต่อมไพเนียลปั่นป่วน ทำให้เกิดความเครียดแบบลึกๆ จึงต้องแก้ด้วยวิตามินคลายเครียดประเภทบีและซีปริมาณมาก ดังนั้นในระยะนี้ต้องกินข้าวกล้อง กินผัก ผลไม้ กินน้ำผลไม้คั้นสด น้ำส้มคั้นสดๆ หากกินอาหารประเภทดังกล่าวไม่ได้ ให้ใช้วิตามินบี 100 วันละ 1 เม็ด และกินวิตามินซี 1,000 ม.ก. วันละ 2 เม็ด หลังอาหารเช้า
2.ถึงกลางคืนจำเป็นต้องเติมพลังงานให้กับตัวเอง เพราะส่วนอาหารที่เรากินเข้าไปจะใช้ได้ประมาณ 6 ช.ม.เท่านั้น หากกินอาหารเย็น 6 โมง ถึงเที่ยงคืนพลังงานก็หมดแล้ว จะต้องเติมอาหารที่ให้พลังงานเข้าไป ทั้งนี้ ควรเป็นอาหารที่ย่อยง่ายประเภทข้าวต้ม โจ๊ก น้ำข้าว ธัญพืช จะดีกว่าอาหารที่มีไขมันสูงอย่างนมวัว หรือเครื่องดื่มประเภทโกโก้ หรือมอลต์ เนื่องจากเวลาที่จะนอนมีน้อยอยู่แล้วไม่ควรกวนกระเพาะให้ย่อยอะไรที่ย่อยยาก เพราะจะทำให้หลับไม่สนิทดีนัก และมีอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตที่ทำให้หลับง่ายกว่า เช่น ข้าวเหนียว กล้วย หากเลือกกินยามดึกได้จะทำให้นอนเร็วกว่า
3.ควรนอนทันทีหลังจากเสร็จจากดูบอล หรือดูหนังสือ ไม่ควรเสียเวลาออกไปหาข้าวต้มรอบดึกกินนอกบ้านเพราะจะยิ่งมีเวลานอนน้อย และควรระลึกไว้ว่าน่าจะมีเวลานอนติดกันประมาณ 4 ชั่วโมง สุขภาพจึงจะไม่เสื่อมทรุดในระยะนี้ ถ้าต้องนอนตี 3 ก็แปลว่าควรจะตื่นตอน 7 โมงเช้าจึงจะดี
4.ไม่ควรแก้ง่วงด้วยการดื่มกาแฟ หรือชา เพราะกาแฟมีฤทธิ์ 6-8 ชั่วโมง หากกินกาแฟตอน 4 ทุ่มก็แปลว่าจะหลับได้เอาตอนตี 4 ซึ่งจะทำให้เวลาพักผ่อนไม่พอ หากง่วงก็ควรงีบหลับก่อนแล้วค่อยตื่นมาดูหนังสือหรือดูโทรทัศน์เอาตอนดึก
5.ตื่นเช้าหลังจากอดนอน ควรกระตุ้นตนเองให้กระปรี้กระเปร่าด้วยวิตามินดังที่ได้กล่าวแล้ว หรือจะใช้โสมกินร่วมด้วยก็ดีกว่าดื่มกาแฟ เพราะการใช้วิตามินกับโสมจะทำให้สมองปลอดโปร่งกว่ากินกาแฟ
7 ผัก-ผลไม้ที่ผู้หญิงควรรับประทาน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ผักผลไม้มีประโยชน์ต่อร่างกายเพียงใด ถึงแม้สาวๆ จะไม่ค่อยนิยมชมชอบ อย่างไรก็ตาม แต่เพื่อให้ได้ประโยชน์โดยตรงกับสาวๆ เรามาลองดูกันว่ากินผักผลไม้แบบไหนจึงตรงประเด็นที่สุด
1.ลูกพรุน ต้องบอกเลยว่าเป็นแหล่งโปแตสเซียม เหล็ก และไฟเบอร์ชั้นดี ที่สำคัญลูกพรุนยังช่วยให้สาวๆ มีเลือดฝาดดูเป็นสาวสดใส ยิ่งโดยเฉพาะสาวๆ ที่มีอายุ 25 ขึ้นไป ร่างกายจะเริ่มเสื่อมโทรม ไขมันจะเริ่มสะสมตามที่ต่างๆ ผิวหน้าก็อาจจะหมองคล้ำลง ธาตุเหล็กที่มีในลูกพรุนจะช่วยดูแลเรื่องนี้ ควบคู่กับภาวะที่สตรีต้องสูญเสียเลือดและธาตุเหล็กไปกับประจำเดือนอีกด้วย
2.ถั่ว เพียบพร้อมไปด้วยโปรตีน เหล็ก และวิตามินปีด้วย มีนักวิทยาศาสตร์เขาค้นพบว่า เมื่อเรารับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำ (ซึ่งมีมากในถั่ว) ไฟเบอร์จะเคลือบกระเพาะ ทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็วและนาน ความอยากอาหารจะลดลง แถมนอกจากไฟเบอร์แล้ว ในถั่วยังมีสารอาหารชนิดอื่นๆ อีกด้วย จึงทำให้ผู้หญิงอย่างเราหุ่นดีโดยไม่ขาดสารอาหาร
3.บร็อกโคลี มีซีลีเนียมมาก ซึ่งจะช่วยบำรุงผิวพรรณและช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณอ่อนนุ่มมีน้ำมีนวล แถมยังช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้
4.กล้วย โดยเฉพาะในกล้วยไข่จะมีสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งสามารถต้านอนุมูลอิสระ เมื่อสาวๆ อายุ 22 ปีไปแล้ว ร่างกายจะเริ่มหยุดการเติบโต ความเสื่อมของร่างกายก็จะเริ่มมาเยือน และนั่นก็จะทำให้เซลล์ในร่างกายทุกเซลล์ผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้น ที่แน่นอนที่สุดความสามารถในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอก็จะลดลงเรื่อยๆ ความสามารถในการกำจัดอนุมูลอิสระก็ลดลง สาวๆ จึงต้องรับประทานกล้วยให้เยอะๆ
5.ฝรั่ง รู้หรือไม่ว่าฝรั่ง 100 กรัม มีวิตามินซีสูงถึง 180 มิลลิกรัม ซึ่งวิตามินซีนี้มีบทบาทในการสร้าง 'คอลลาเจน' ที่ทำให้ผิวพรรณเต่งตึงยืดหยุ่นไม่เหี่ยวย่นก่อนวัย
6.แอปเปิล มี เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ 'เพคติน' ซึ่งจะช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนัก และลดคอเลสเตอรอล ถ้าสาวๆ หิวเมื่อไหร่ล่ะก็ให้นึกถึงแอปเปิลไว้ก่อนเลย
7.ส้ม เป็นแหล่งวิตามินเกลือแร่และเส้นใยธรรมชาติ น้องๆ การรับประทานส้มโดยไม่คายกาก จะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกทางหนึ่ง เพราะจะทำให้เราอิ่มท้องเร็ว สาวๆ ที่อยากลดน้ำหนักต้องส้มเลย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ผักผลไม้มีประโยชน์ต่อร่างกายเพียงใด ถึงแม้สาวๆ จะไม่ค่อยนิยมชมชอบ อย่างไรก็ตาม แต่เพื่อให้ได้ประโยชน์โดยตรงกับสาวๆ เรามาลองดูกันว่ากินผักผลไม้แบบไหนจึงตรงประเด็นที่สุด
กิน 'แตงโม' แก้กระหายน้ำ...ป้องกันสารพัดโรค
อากาศร้อนๆ แบบนี้ อาจทำให้หลายๆ คนมองหากิจกรรมหรือวิธีคลายร้อนกันอยู่ วิธีหนึ่งที่จะช่วยให้คลายร้อนได้ง่ายๆ แถมอิ่มท้องอีกด้วย นั่นก็คือการดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ หรือทานผลไม้แก้กระหาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "แตงโม" ถือเป็นผลไม้ที่มีปริมาณของน้ำสูงรับประทานแล้วชื่นใจ
ดร.ปวีณา ไตรเพิ่ม อาจารย์ประจำ ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความรู้ว่า แตงโม เป็นไม้เกาะเลื้อยล้มลุกในกลุ่มเดียวกันกับแตงกวา น้ำเต้า ฟักทอง ซึ่งนักพฤกษ ศาสตร์จัดให้อยู่ในวงศ์แตง (Family Cucurbitaceae) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Citrullus lanatus (Thunb.) Matsum. & Nakai ในผลแตงโมมีสารสำคัญสีแดงที่เรียกว่า "ไลโคปีน" (Lycopene) เป็นสารประกอบในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ซึ่งเป็นสารแอนตี้ ออกซิแดนท์ (Anti oxidant) ที่ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งและโรคหัวใจ อีกทั้งเบตา แคโรทีน (B-Carotene) ที่มีในเนื้อแตงโมเป็นสารที่ร่างกายใช้เพื่อเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจและระบบขับปัสสาวะ ช่วยทำให้ผิวพรรณและผมแข็งแรง นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยเรื่องการมองเห็นอีกด้วย
สารสำคัญอีกชนิดหนึ่งคือสาร 'ซิทรูไลน์' (Citruline) ช่วยขยายเส้นเลือดดีต่อระบบภูมิคุ้มกันและยังเป็นประโยชน์สำหรับคนเป็นโรค อ้วนและเบาหวาน โดยจะพบสารซิทรูไลน์ในเปลือกมากกว่าส่วนของเนื้อ ฉะนั้นการรับประทานแตงโมที่มีส่วนขาวๆ ของเปลือกติดไปด้วยจึงได้ประโยชน์ที่ดีมากกว่าที่จะเฉือนออกทิ้ง ที่สำคัญสาวๆ ที่กำลังลดความอ้วนอยู่ก็สามารถเลือกรับประทานแตงโมได้เนื่องจากมีแคลอรีต่ำ อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ เช่น ธาตุโพแทสเซียม ช่วยควบคุมความดันโลหิต วิตามินซีช่วยป้องกันไข้หวัด โรคเลือดออกตามไรฟัน อีกทั้งโมเลกุลของน้ำตาลและกรดอะมิโนอีกเล็กน้อย ช่วยในการบำรุงผิวได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตามแตงโมเป็นพืชที่ถูกรบกวนได้ง่ายจากแมลง ชาวสวนจึงนิยมฉีดยาฆ่าแมลงเป็นจำนวนมาก เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะผ่าแตงโมรับประทานควรจะล้างเปลือกให้สะอาดเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นแตงโมพันธุ์สีแดงหรือสีเหลือง ผลกลมหรือผลรีก็ตาม เพื่อป้องกันสารพิษตกค้างซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
ดร.ปวีณา ไตรเพิ่ม อาจารย์ประจำ ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความรู้ว่า แตงโม เป็นไม้เกาะเลื้อยล้มลุกในกลุ่มเดียวกันกับแตงกวา น้ำเต้า ฟักทอง ซึ่งนักพฤกษ ศาสตร์จัดให้อยู่ในวงศ์แตง (Family Cucurbitaceae) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Citrullus lanatus (Thunb.) Matsum. & Nakai ในผลแตงโมมีสารสำคัญสีแดงที่เรียกว่า "ไลโคปีน" (Lycopene) เป็นสารประกอบในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ซึ่งเป็นสารแอนตี้ ออกซิแดนท์ (Anti oxidant) ที่ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งและโรคหัวใจ อีกทั้งเบตา แคโรทีน (B-Carotene) ที่มีในเนื้อแตงโมเป็นสารที่ร่างกายใช้เพื่อเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจและระบบขับปัสสาวะ ช่วยทำให้ผิวพรรณและผมแข็งแรง นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยเรื่องการมองเห็นอีกด้วย
สารสำคัญอีกชนิดหนึ่งคือสาร 'ซิทรูไลน์' (Citruline) ช่วยขยายเส้นเลือดดีต่อระบบภูมิคุ้มกันและยังเป็นประโยชน์สำหรับคนเป็นโรค อ้วนและเบาหวาน โดยจะพบสารซิทรูไลน์ในเปลือกมากกว่าส่วนของเนื้อ ฉะนั้นการรับประทานแตงโมที่มีส่วนขาวๆ ของเปลือกติดไปด้วยจึงได้ประโยชน์ที่ดีมากกว่าที่จะเฉือนออกทิ้ง ที่สำคัญสาวๆ ที่กำลังลดความอ้วนอยู่ก็สามารถเลือกรับประทานแตงโมได้เนื่องจากมีแคลอรีต่ำ อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ เช่น ธาตุโพแทสเซียม ช่วยควบคุมความดันโลหิต วิตามินซีช่วยป้องกันไข้หวัด โรคเลือดออกตามไรฟัน อีกทั้งโมเลกุลของน้ำตาลและกรดอะมิโนอีกเล็กน้อย ช่วยในการบำรุงผิวได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตามแตงโมเป็นพืชที่ถูกรบกวนได้ง่ายจากแมลง ชาวสวนจึงนิยมฉีดยาฆ่าแมลงเป็นจำนวนมาก เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะผ่าแตงโมรับประทานควรจะล้างเปลือกให้สะอาดเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นแตงโมพันธุ์สีแดงหรือสีเหลือง ผลกลมหรือผลรีก็ตาม เพื่อป้องกันสารพิษตกค้างซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
โรคจากการขาดน้ำ
การดูแลสุขภาพที่ง่ายและใกล้ตัวที่ สุดก็คือ การดื่มน้ำ เห็นได้บ่อยครั้งจากเคล็ดลับเพื่อสุขภาพทั้งหลาย แนะนำให้ดื่มน้ำอย่าได้ต่ำกว่า 7-8 แก้วต่อวัน
ทว่าดื่มน้ำน้อยเกินไปหรือดื่มน้ำไม่ดีต่อสุขภาพ สามารถนำพาโรคประหลาดมาได้ อย่างที่ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ มาบอกไว้ในครั้งนี้
น้ำดื่มแต่ละหยดที่แตะลิ้นผ่านคอลงไปเพื่อดับกระหายให้เรานั้นมีอายุย้อน กลับไปได้ตั้งแต่กำเนิดจักรวาลเพราะมันเกาะติดมากับอุกาบาตที่มาชนโลกเมื่อ ครั้งเยเนซิสกำเนิดโลก ซึ่งหินต่างดาวนั้นนิยมมาชนโลกกันเหลือเกินจนน้ำที่ติดมากับหินหยาดละนิดหยด ละหน่อยรวมๆ กันแล้วได้เป็นมหาสมุทร...เอ๊ะ นี่เรากำลังดื่มประวัติศาสตร์อยู่!?
แต่ถ้าดื่มผิดๆ ถูกๆ ประวัติศาสตร์ก็อาจทำร้ายเราได้ในข้อหาว่าไปบิดเบือนมัน ซึ่งโรคสำคัญที่เกิดจากน้ำก็มีให้เห็นอยู่มาก ซึ่งจะขอแยกเป็น 2 กลุ่มหลักดังนี้คือ “โรคจากขาดน้ำ” กับ “โรคจากผิดน้ำ”
เริ่มแจงรายละเอียดโดยพิสดารถึง “โรคจากขาดน้ำ”
ทำให้ "ปวดหัว" ขออย่าเพิ่งมือไวคว้าพารามากินต่างลูกอม ลองหาน้ำเปล่าชื่นใจมาดื่มก่อนสัก 2 แก้วใหญ่จะช่วยได้มาก หากไม่ชินก็หาน้ำยาอุทัยทิพย์หรือบีบมะนาวลงไปสักเสี้ยวจะดื่มง่ายขึ้นมาก
ขาดน้ำบ่อยจะพลอย "คออักเสบ" แถมเป็นหวัดคอเจ็บน้ำมูกยืดได้เพราะทำให้ร่างกายอักเสบง่ายร้อนข้างใน ทำให้มีเชื้อเพียงนิดก็ติดได้ ขอให้กลั้วปากด้วยน้ำสะอาดบ่อยและแปรงลิ้นให้สะอาดหลังแปรงฟันเสร็จครับ
โดยเฉพาะคุณผู้หญิงขาดน้ำแล้วระวัง "ปวดประเดือน" ยามมีรอบเดือนเป็นช่วงที่ร่างกายอักเสบมากอยู่แล้ว ยิ่งไม่ดื่มน้ำเข้าไปดับไฟอักเสบก็ยิ่งลุกลามหนัก จากปวดน้อยพอทนก็กลายเป็นปวดมากไม่อยากทนไป
ซ้ำร้ายเติมปัญหานี้ ด้วยอาการ "ประจำเดือนผิดปกติ" บางทีมาน้อยสีเข้ม บางครั้งมาติดๆดับๆ เลื่อนไปมาน่าเวียนหัว ขอให้ลอง 2 วิธีคือออกกำลังกายกับดื่มน้ำให้มากเพราะจะช่วยคุมฮอร์โมนที่คุมประจำเดือน อีกทีได้ครับ
ขาดน้ำแล้วยังทำให้ "เหนื่อยง่าย" แน่นอนมากเพราะหากไม่ดื่มน้ำจะทำให้ “เครื่องร้อน” เหมือนตอนขับรถยนตร์เครื่องเปล่าทำให้เผาหัวน่ากลัวมาก ตัวคนก็ไม่ต่างกันท่านที่ไม่ดื่มน้ำให้พอก่อนออกกำลังกายหรือเข้าซาวน่าจะทำ ให้โทรมเร็วครับ
และอาจคาดไม่ถึงว่า ขาดน้ำแล้วจะ "นอนไม่หลับ" มีอาการกระสับกระส่ายตอนกลางคืนตื่นแล้วหลับต่อไม่ลงอาจเกิดจากช่วงกลางวัน ดื่มน้ำไว้ไม่พอเพราะต่อมง่วงในสมองจะทำงานได้ดีต่อเมื่อมีน้ำชุ่มฉ่ำเพียง พอ ขอแค่ดื่มน้ำสักวันละ 2 ลิตรก็ช่วยนอนได้ครับ
สุดท้ายดื่มน้ำไม่พอระวัง "อ้วนง่าย" ใครอยากรู้เคล็ดลดอ้วนเอียงมาจะกระซิบบอก แค่ออกไปดื่มน้ำสักหน่อยจะช่วยเผาผลาญได้ดีขึ้น โดยเฉพาะน้ำเย็นเป็นตัวช่วยดึงพลังงานจากตัวมาใช้ได้ดี ถ้าไม่มีน้ำเข้าไปช่วยเวลาลดอ้วนจะ “ฝืด” พิลึกทีเดียว
เมื่อน้ำในร่างกายไม่สมดุล
สมดุลของน้ำเกิดขึ้นได้อย่างไร
อย่างที่พอรู้กันมาบ้างแล้วว่าร่างกายของเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบถึงเกือบ 70 เปอร์เซ็นต์ แต่รู้หรือเปล่าคะว่าน้ำเหล่านี้ นั้นแทรกซึมอยู่ทุกส่วนของร่างกายทั้งภายในและภายนอกเซลล์ ทั้ง เลือด น้ำเหลือง น้ำย่อย ฯลฯ โดยมี “อิเล็กโทรไลต์” หรือเรียกง่ายๆ ว่า “เกลือแร่” เช่น โซเดียม โพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม คลอไรด์ ฟอสเฟต และไบคาร์บอเนต ละลายปนอยู่ ทำให้น้ำมีความเข้มข้นและนำพาอาหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย
และแม้อิเล็กโทรไลต์ทุกตัวจะมีความสำคัญ แต่ปริมาณความเข้มข้นของโซเดียมและโพแทสเซียมจะมีอิทธิพลต่อการรักษาสมดุล และถ่ายเทของน้ำในเซลล์และภายนอกเซลล์มากสุด โดยกลไกการเคลื่อนที่ของน้ำในร่างกายจะไหลจากด้านที่มีความเข้มข้นน้อยกว่า ผ่านเยื่อกั้นผนังเซลล์ไปยังด้านที่มีความเข้มข้นสูงกว่า ยกตัวอย่างเช่น เวลาทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรง หรือออกกำลังกาย น้ำภายนอกเซลล์จะกลายเป็นเหงื่อไหลออกนอกผิวหนัง ทำให้ของเหลวนอกเซลล์เข้มข้นขึ้นเพราะน้ำหายไป (แต่ปริมาณโซเดียมยังตกค้างอยู่มาก) สมองส่วนไฮโปทาลามัสจะสั่งให้น้ำในเซลล์ถ่ายเทอออกมาเพื่อปรับสมดุลไม่ให้ น้ำนอกเซลล์เข้มข้นมากเกินไป ในทางตรงกันข้าม หากเราดื่มน้ำมากเกินไป ความเข้มข้นของเหลวภายนอกเซลล์ก็จะลดลง ดังนั้นน้ำจึงไหลกลับเข้าไปในเซลล์ซึ่งมีความเข้นข้นสูงกว่า เป็นต้น
ซึ่งระหว่างที่น้ำทั้งสองส่วนถ่ายเทกันอยู่นี้ สมองจะส่งสัญญาณไปบอกไตให้เลือกเก็บกักน้ำหรือกำจัดออกไป เช่น เมื่อร่างกายขาดน้ำ เลือดจะเข้มข้มขึ้น สมองจะเตือนไตให้รีบดึงน้ำกลับเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อไหลเวียนไปเลี้ยง อวัยวะทุกส่วนตามปกติ เราจึงไม่ค่อยปวดปัสสาวะ หรือปัสสาวะน้อยลงและมีสีเหลืองเข้ม แต่ถ้าหากเราได้รับน้ำเข้าสู่ร่างกายมากเกินไป สมองจะสั่งให้ไตรีบกำจัดน้ำส่วนเกินทิ้งไปปริมาณปัสสาวะจึงมากขึ้นและมีสี จางลง
รู้ได้อย่างไรเมื่อน้ำในร่างกายไม่สมดุล
ร่างกายจะแสดงอาการว่าน้ำไม่สมดุลจากภาวะขาดน้ำ เกิดจากการที่เราดื่มน้ำน้อยเกินไป แม้ไตจะพยายามเก็บรักษาน้ำในร่างกายให้นานที่สุด เพื่อช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายเป็นไปอย่างปกติแล้วก็ตาม แต่เมื่อไตเริ่มรับมือไม่ไหวก็จะส่งสัญญาณแสดงอาการไม่สบายต่างๆ เช่น
ปากแห้ง เพราะร่างกายหยุดผลิตน้ำลาย ส่งผลให้กลืนอาหารลำบาก และกระเพาะต้องรับภาระหนักขึ้น เนื่องจากขาดเอนไซม์ในการช่วยย่อยอาหารจำพวกไขมัน แป้งและน้ำตาลจากน้ำลาย
ผิวหนังแห้งกร้าน ลอกเป็นขุย เพราะน้ำถูกดึงไปหล่อเลี้ยงอวัยวะส่วนอื่นๆ
ปวดศรีษะ เมื่อ ขาดน้ำ เลือดจะหนืดข้นขึ้นปริมาตรเลือดทั้งหมดในร่างกายจึงลดลง หัวใจเลยต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ โดยเพิ่มอัตราการบีบตัวและกระตุ้นเส้นเลือดให้หดตัว เส้นประสาทที่พันรอบเส้นเลือดจึงถูกบีบไปด้วย ส่งผลให้เกิดอาการปวดศีรษะ และที่ไม่ปวดบริเวณอื่น เพราะศีรษะมีเส้นประสาทจำนวนมาก จึงไวต่อความรู้สึกมากกว่า
หงุดหงิด ง่วงซึม ไม่มีแรง เบลอ เป็นอาการสืบเนื่องมาจากการที่เลือดขึ้นไปเลี้ยงสมองและกล้ามเนื้อไม่เพียงพอ เพราะปริมาตรของเลือดลดลงเมื่อขาดน้ำ
แผลร้อนใน เมื่อร่างกายขาดน้ำ อุณหภูมิภายในจะเพิ่มสูงขึ้น เนื้อเยื่อภายในช่องปากจึงได้รับผลกระทบ คล้ายกับผิวหนังโดนน้ำร้อนลวกจนเกิดอาการบวมแดง พองเป็นถุงน้ำใสและแตกเป็นแผลในที่สุด
ท้องผูก เพราะร่างกายจะดึงน้ำจากทุกระบบรวมทั้งบริเวณปลายลำไส้ใหญ่ไปหล่อเลี้ยง อวัยวะส่วนอื่นที่สำคัญก่อน
ความดันเลือดต่ำ เมื่อขาดน้ำแรงดันระบบไหลเวียนโลหิตจะลดลง จึงทำให้รู้สึกหน้ามืด อ่อนเพลีย วิงเวียน
ตากลวงลึกและดำคล้ำ เพราะรอบดวงตา โดยเฉพาะใต้ตาของเรามีของเหลวบรรจุอยู่ เมื่อร่างกายเสียน้ำไปมาก บริเวณดังกล่าวก็ได้รับผลกระทบจากการที่ร่างกายดึงน้ำไปใช้เช่นกัน ตาจึงโหลและมีรอยคล้ำ
อย่างไรก็ตามภาวะขาดน้ำ อย่างเดียวนั้นไม่อันตรายถึงชีวิต เพราะร่างกายจะเตือนให้เรากระหายน้ำ หรือเริ่มกระบวนการกักเก็บน้ำโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว
วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
ต้านอนุมูลอิสระ เคล็ดลับชะลอวัย
อนุมูลอิสระ (Free radical) ตัวการร้ายทำลายผิว เกิดจากปฎิกริยาออกซิเดชั่นของออกซิเจนในการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย กลายเป็นสนิมไปเกาะเซลล์ต่างๆ และกัดกร่อนเซลล์ให้เสื่อมสภาพเร็ว เปรียบได้กับคราบควันพิษจากการเผาเชื้อเพลิงของโรงงาน หากเกิดเพียงเล็กน้อยร่างกายจะส่งสัญญาณเตือนด้วยอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ผิวหมองคล้ำ แต่ถ้าเมื่อใดที่ร่างกายต้องเผชิญกับปัจจัยอื่นรุมเร้า ก็จะมีปริมาณอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้นเฉียบพลัน จนเกินกว่าจะรับมือไหว และหากยิ่งทิ้งไว้เนิ่นนานอวัยวะต่างๆ จะเกิดความเสื่อมหรือแสดงออกทางผิวหนังที่เหี่ยวย่น ซึ่งเป็นปัญหาที่แก้ไขยากเสียแล้ว
กินเติมสารมหัศจรรย์ต้านแก่
แม้คุณจะพยายามหลีกเลี่ยงพฤติกรรมก่ออนุมูลอิสระสักเท่าไร แต่เมื่ออายุมากขึ้น ประสิทธิภาพในการสร้างสารต้านอนุมูลอิสระของร่างกายก็จะลดลง จึงจำเป็นต้องปรับพฤติกรรมเพื่อลดการเกิดและสะสมสารต้านอนุมูลอิสระไว้เสีย ตั้งแต่วันนี้
แคโรทีนอยด์ เป็นเม็ดสีชนิดละลายในไขมัน ซึ่งร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้เมื่อผ่านการปรุงสุก พบในผักสีส้ม เหลือง แดง เขียวเข้ม เช่น เอพริคอต ฟักทอง แคนตาลูป แครอท พีช บรอกโคลี
ฟลาโวนอยด์ เป็นเม็ดสีชนิดละลายน้ำ มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระดีกว่าวิตามินซีและอีถึงห้าสิบเท่า พบมากในดาร์กช็อกโกแลต องุ่นแดง และชาเขียว
แอนโธไซยานิน ช่วยต้านการอักเสบของเซลล์ พบในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
โคเอนไซม์คิวเทน ช่วยต้านอนุมูลอิสระที่เกิดจากรังสียูวี พบได้ในแซลมอน ปลาทู ปลาทูน่า
วิตามินซี เป็นวิตามินชนิดละลายน้ำที่เสริมการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นให้ทำ งานอย่างมีประสิทธิภาพ และป้องกันการเกิดปฏิกริยาออกซิเดชั่นในไขมันชนิดไม่ดี (LDL) ได้แก่ ไขมันชนิดอิ่มตัว และไขมันทรานซ์ พบมากในฝรั่ง สตรอว์เบอร์รี่ ส้ม เชอร์รี่ เสาวรส ทับทิม ซึ่งควรรับประทานแบบผลสดเพราะวิตามินซีจะถูกทำลายเมื่อถูกความร้อนและแสงแดด
วิตามินอี เป็นวิตามินชนิดละลายในไขมัน ช่วยต้านอนุมูลอิสระในอวัยวะที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบ เช่น สมอง ตับ พบมากในน้ำมันพืข โดยเฉพาะน้ำมันปาล์ม ถั่วลิสง วอลนัต อัลมอนด์
แร่ซิลีเนียมและสังกะสี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระสำคัญที่เสริมการทำงานของวิตามินอี ช่วยฟื้นฟูความเสื่อมของเซลล์ พบมากในเนื้อแดง อาหารทะเล และถั่วเปลือกแข็ง
ทำไมเบอร์รี่ ถึงดีกับดวงตา
บิลเบอร์รี่ (Bilberry) เป็นผลไม้สีน้ำเงินม่วง ที่พบมากในประเทศแถบยุโรป แคนาดา และสหรัฐอเมริกา ในแถบอังกฤษและยุโรปตอนเหนือ นิยมนำผลบิลเบอร์รี่สุกมาทำเป็น
แยมมานานกว่า 100 ปีแล้วนอกจากนี้ยังนำส่วนของใบและก้าน ไปทำเป็นผลแห้งเพื่อทำเป็นผงชาสำหรับดื่มเพื่อสุขภาพกันอย่างแพร่หลายอีกด้วย
บิลเบอร์รี่ เริ่มฮิตติดอันดับเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จากการที่นักบินทหารอากาศของประเทศอังกฤษ สังเกตว่ากินแยมบิลเบอร์รี่ก่อนฝึกบินในเวลากลางคืน ช่วยให้สายตาทำงานได้ดีขึ้นในที่มืด
นักวิจัยชาวฝรั่งเศสพบว่า บิลเบอร์รี่ มีสารสีน้ำเงินอมม่วง ที่เรียกว่า แอนโธไซยาโนไซด์ ซึ่งมีฤทธิ์เป็นตัวต้านอนุมูลอิสระสูง เมื่อเทียบกับผักและผลไม้อื่นๆ และยังช่วยบำรุงและสร้างโรดอบซิน (Rhodopsin) ซึ่งเป็นสารเคมีที่จอรับภาพ จึงช่วยให้สายตาทำงานได้ดีขึ้นในที่มืด ทำให้เราสามารถมองเห็นภาพได้แม้ในที่มีแสงน้อย
ประโยชน์ของอาหารเสริมที่สกัดจากบิลเบอร์รี่ ต่อสุขภาพดวงตา
1. ช่วยถนอมดวงตา ทำให้การมองเห็นในที่มืดดีขึ้น
2. ช่วยรักษาอาการตาบอดกลางคืน ( Night blindness)
3. ช่วยลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา เมื่อใช้สายตานานๆ
4. ช่วยป้องกันเลนส์ตาและช่วยให้คอลลาเจนในตาในส่วน cornea และหลอดเลือดฝอยแข็งแรงขึ้น
5. ช่วยลดอนุมูลอิสระในจอตา ทำให้ป้องกันอาการเสื่อมที่มักจะเกิดกับดวงตาให้น้อยลงได้ เช่น ต้อกระจก ต้อหิน ต้อเนื้อ ตาเสื่อมในคนสูงอายุ(สายตายาว)
ด้วยเหตุนี้ การบริโภคบิลเบอร์รี่สดหรือในรูปเบอร์รี่สกัดเข้มข้น รวมทั้งผลไม้ตระกูลเบอร์รี่จึงช่วยบำรุงสายตาได้อีกวิธีหนึ่ง สงสัยแสนเสน่ห์คงต้องไปหาเบอร์รี่มาทานบ้างซะแล้ว เพื่อมาบำรุงดวงตาคู่สวยของเรา..
อาหารควรเลี่ยงหากปัสสาวะบ่อยเกิน!!
มีผู้ถามถึง “อาการปวดปัสสาวะ” เข้ามาว่า ในแต่ละวันจะรู้สึกปวดปัสสาวะบ่อยมาก เกือบๆ ทุกชั่วโมง รวมทั้งช่วงกลางดึก จนรู้สึกรำคาญ อยากทราบว่าเป็นลักษณะของโรคใดๆ หรือไม่ และจะมีวิธีอย่างไรบ้างที่ช่วยลดอาการดังกล่าวได้
“อาการปวดปัสสาวะ” หากเกิดขึ้นบ่อยๆ หรือราว 2-3 ครั้งต่อชั่วโมง เวลาปวดก็จะกลั้นไม่ค่อยได้ และอาจรู้สึกเจ็บท้องน้อยร่วมด้วย นั่นอาจเป็นสัญญาณของ โรคกระเพาะปัสสาวะไวเกิน หรือ Over Active Bladder (OAB) ซึ่งเป็นภาวะที่ระบบประสาทบริเวณกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะผิดปกติ ทำให้บีบตัวบ่อย และไวกว่ากำหนด ปัจจุบันพบได้ทั้งในผู้หญิง และผู้ชาย
สำหรับวิธีรักษานั้น นอกจากจะใช้แนวทางด้านการแพทย์แล้ว ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการรับประทานอาหารควบคู่ไปด้วย เพราะอาหารบางอย่างก่อให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะปัสสาวะ และมีฤทธิ์กระตุ้นการขับปัสสาวะ จึงควรหลีกเลี่ยง ซึ่งมีดังต่อไปนี้ ส้ม, ส้มโอ, สับปะรด,ช็อคโกแลต,ชา, กาแฟ,ซอสพริก, วาซาบิ,น้ำตาล, น้ำผึ้ง,ผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศ,เครื่องดื่มแอลกอฮอล์,นม, เนยแข็ง,เครื่องดื่มชูกำลัง และเครื่องดื่มอัดลม
โดยอาจชดเชยด้วยอาหาร ประเภทอื่นแทน เช่น ผลไม้ควรเลือกทานเป็น กล้วย-แอปเปิ้ล-ลูกแพร์-เบอร์รี่ ในเครื่องดื่มควรเปลี่ยนเป็นชาสมุนไพรที่ไม่มีคาเฟอีน ส่วนผู้ที่ชอบทานรสจัดอาจใช้กระเทียม หรือวัตถุดิบสมุนไพรที่ให้รสเผ็ดร้อนอย่างอื่นปรุงแทน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เข้ารับการรักษากับแพทย์ควรหลีกเลี่ยงอาหารข้างต้นควบคู่ไปด้วย ก็จะช่วยบรรเทาจากอาการดังกล่าวได้
การสังเกตุมะเร็ง 15 ชนิด
วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็งชนิดต่างๆ อาการของ การเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
1. มะเร็งปากมดลูก อาการมีเลือดออกจากช่องคลอดทั้งๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณอาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศ สัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูดเนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ได้
2. มะเร็งในมดลูก อาการมีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อง
3. มะเร็งรังไข่ อาการประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์ มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง
4. มะเร็งในเม็ดเลือด (ลูคีเมีย) อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาการ ปวดตามข้อต่างๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของ ช่องท้อง
5. มะเร็งปอด อาการมักมีอาการไอบ่อยๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ เจ็บหน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้งๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
6. มะเร็งตับ อาการปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด
7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการมีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ
8. มะเร็งสมอง อาการปวดศีรษะนานๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียวๆ แดงๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือการเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและ เป็นอัมพาตชั่วคราวควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่ มีอาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย
9. มะเร็งในช่องปาก อาการมีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำ หรือเป็นเวลานาน
10. มะเร็งในลำคอ อาการเสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้
11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อย บ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ
12. มะเร็งทรวงอก อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนา ขึ้น มีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้ บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียก ว่า ซีสต์ ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกันแน่
13. มะเร็งลำไส้ อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ
**** ซึ่งมีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใช้ กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคืออาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมี สีดำคล้ำนั่น คือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้
14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ ได้เกิดอาการติดเชื้อในบางส่วนของร่างกาย
15. มะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานาน ตลอดจนไฝหรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่าเมลาโนมา ( Melanoma ) คือ เนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติ
ประโยชน์ 10 ประการของไข่
ไข่ ซึ่งจัดได้ว่าเป็นอาหารหลักของคนทุกชนชั้นทุกชาติ จากประโยชน์ที่ไข่มอบให้กับร่างกายของคนเรานั่นเองและต่อไปนี้คือ ประโยชน์ 10 ประการจากการบริโภคไข่ ซึ่งบางอย่างคุณอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน
1. ไข่เป็นอาหารที่ดีสำหรับดวงตา ผลการศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่า การรับประทานไข่วันละฟองอาจจะช่วยป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม ทั้งนี้เนื่องมาจากสารคาโรทีนอยด์ที่อยู่ในไข่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูทีน (lutein) และซีแซนทีน (zeaxanthin) ซึ่งเป็นสารที่พบบริเวณตา โดยฉาบอยู่บนผิวของเรตินา เพราะร่างกายจะได้รับสารอาหารทั้งสองอย่างนี้โดยตรงจากไข่มากกว่าอาหารชนิด อื่น
2. ไข่ทำให้เป็นต้อกระจกน้อยลง จากผลการวิจัยอีกชิ้นหนึ่งนักวิจัยยังพบว่า คนที่กินไข่ทุกวันมีความเสี่ยงที่จะเป็นต้อกระจกน้อยลง อันเนื่องมาจากลูทีนและซีแซนทีนในไข่ดังได้กล่าวมาแล้ว
3. ไข่อุดมไปด้วยโปรตีน โดย 1 ฟองจะมีโปรตีนคุณภาพดี 6 กรัม และกรดอะมิโนสำคัญอีก 9 ชนิด
4. ผลจากการทำวิจัยโดยมหาวิทยาลัยแพทย์ฮาร์วาร์ดพบว่า ไม่มีความเชื่อมโยงที่สำคัญระหว่างการบริโภคไข่กับการเกิดโรคหัวใจ แถมยังมีผลการวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่พบว่า การบริโภคไข่เป็นประจำยังช่วยป้องกันเลือดจับตัวเป็นก้อนเส้นเลือดอุดตันใน สมอง และภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
5. ไข่เป็นแหล่งโคลีนที่ดี โดยโคลีนอยู่ในกลุ่มของวิตามินบี จัดเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยในการควบคุมการทำงานของสมอง ระบบประสาท และระบบไหลเวียนของเลือด โดยไข่ 1 ฟองจะมีโคลีนมากถึง 300 ไมโครกรัม
6. ไขมันในไข่มีคุณภาพดี ไข่ 1 ฟองมีไขมันอยู่ 5 กรัม และมีเพียง 1.5 กรัมเท่านั้นที่เป็นไขมันชนิดอิ่มตัว
7. แม้ว่าออกจะขัดแย้งกับความเชื่อเดิมๆ แต่งานวิจัยชิ้นใหม่กลับพบว่า การบริโภคไข่แต่พอสมควรจะไม่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อปริมาณคอเลสเตอรอล มิหนำซ้ำยังมีการศึกษาพบเมื่อเร็วๆ นี้ว่า การบริโภคไข่วันละ 2 ฟองเป็นประจำวันไม่มีผลกระทบต่อระดับไขมันในร่างกาย มิหนำซ้ำอาจจะช่วยทำให้ไขมันดีขึ้น โดยผลการวิจัยกล่าวว่า ไขมันอิ่มตัวจะทำให้ระดับคอเรสเตอรอลเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าคอเลสเตอรอลที่อยู่ ในอาหาร
8. กินไข่ได้วิตามินดี เพราะไข่เป็นอาหารเพียงชนิดเดียวที่เป็นแหล่งวิตามินดีตามธรรมชาติ
9. ไข่อาจจะช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม โดยผลการศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่า ผู้หญิงที่รับประทานไข่ 6 ฟองต่อสัปดาห์ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเต้านมลงร้อยละ 44
10. ไข่ทำให้เส้นผมและเล็บมีสุขภาพดี เพราะว่าไข่มีซัลเฟอร์สูง รวมถึงยังมีวิตามินและแร่ธาตุอีกหลายชนิด หลายคนจึงพบว่าผมยาวเร็วขึ้นหลังจากที่เพิ่มไข่เข้าไปในอาหารที่รับประทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่เคยขาดอาหารที่มีซัลเฟอร์หรือวิตามินบี12 มาก่อน
การบริโภคไข่ที่เหมาะสม
แม้ว่าไข่จะมีคุณประโยชน์มากมาย แต่หลายคนก็ยังกังวล ฉะนั้นการกินไข่ในปริมาณที่เหมาะสมกับวัย ควบคู่กับการออกกำลังกายเป็นประจำจึงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดี โดยคนแต่ละวัยสามารถบริโภคไข่ได้ดังนี้
เด็กอายุ 1 ปีจนถึงเด็กวัยเรียนสามารถบริโภคไข่ได้วันละ 1 ฟอง
ผู้ใหญ่ที่มีภาวะร่างกายปกติสามารถบริโภคไข่ได้ 3-4 ฟองต่อสัปดาห์
คนวัยทำงานสุขภาพดีสามารถบริโภคไข่ได้วันละ 1 ฟองทุกวัน ไม่เพิ่มคอเลสเตอรอลและไม่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
กลุ่มผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ หรือโรคที่ต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงสามารถบริโภคไข่เพียง 1 ฟองต่อสัปดาห์หรือตามคำแนะนำของแพทย์
ไม่ใช่แค่อาหารทำ“คอเลสเตอรอล”พุ่ง
“คอเลสเตอรอลสูง” มีสาเหตุร่วมกันของหลายปัจจัย พบมากที่สุดจากเรื่อง “อาหาร” โดย การรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวมากเกินไป อาทิ อาหารเช้าสไตล์ฝรั่ง ทั้งเนื้อหมู เนื้อวัว นม ไข่ เนย ชีส คุกกี้ แครกเกอร์ และมันฝรั่งทอด เป็นต้น
“น้ำหนักตัว” ที่มากเกินไป ส่งผลต่อระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ให้เพิ่มขึ้น และระดับ
คอเลสเตอรอลที่ดี (HDL) ลดลง ทั้งนี้ ผลวิจัยจากต่างประเทศพบว่า น้ำหนักตัวที่ลดลง 10%จะช่วยลดความเสี่ยงดังกล่าวได้
“กิจกรรมระหว่างวัน”การขาดการออกกำลังกายจะเพิ่ม LDL และลด HDL เช่นกัน ดังนั้น ควรออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30นาที โดยอาจใช้การเดินเป็นประจำก็ได้
“อายุ และเพศ” เมื่อย่างเข้าสู่วัย 20ระดับคอเลสเตอรอลตามธรรมชาติจะเริ่มเพิ่มขึ้น นอกจากนี้
ชายอายุ 45ปีขึ้นไป และหญิงอายุ 55ปีขึ้นไป ก็มีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของคอเลสเตอรอล
“โรคประจำตัว” คอเลสเตอรอลสูงอาจเกิด จากโรคต่างๆ เช่น โรคตับ โรคไต โรคเบาหวาน และ
ไฮโปไทรอยด์ (Hypothyroidism) หรือ ภาวะที่ฮอร์โมนไทรอยด์ในร่างกายต่ำ รวมถึงโรคที่สามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ อย่าง ภาวะคอเลสเตอรอลสูงในครอบครัว (Familial Hypercholesterolemia) ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง
“สูบบุหรี่” จะส่งผลต่อระดับคอเลสเตอรอลที่ดี (HDL) ลดลง ทำให้เส้นเลือดแดงแข็ง และมีความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจเพิ่มขึ้น
ดังนั้น นอกจากอาหารที่ต้องควบคุมแล้ว ยังต้องเลี่ยงปัจจัยดังกล่าวข้างต้นร่วมด้วย เพื่อลดอัตราเสี่ยงต่อการมีระดับ
คอเลสเตอรอลในเลือดสูง และการเกิดปัญหาสุขภาพได้
เปิดไฟนอนระวังสมองเสื่อม!
ใครที่ชอบเปิดไฟทิ้งไว้ระหว่างนอนหลับ รู้หรือไม่ว่า ก่อให้เกิดผลเสียต่อสมอง และทำให้ความงามลดลงอีกด้วย
อาจฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่นั่นเป็นเพราะเรตินาในลูกตาที่มีความไวต่อแสง ยังส่งสัญญาณไปสู่สมองอยู่ จึงไม่มีการหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนิน (ที่ทำให้รู้สึกง่วง) ดังนั้น ถึงหลับก็หลับไม่สนิท จะสังเกตพบว่า เมื่อตื่นขึ้นมา จึงไม่รู้สึกสดชื่น หรือกระปรี้กระเปร่าอย่างที่ควรจะเป็น อารมณ์ไม่แจ่มใส ผิวพรรณไม่เปล่งปลั่ง ในระหว่างวันประสิทธิภาพการจัดการความจำของสมองก็ไม่ดี เนื่องจากการนอนที่ด้อยคุณภาพ
ผลการศึกษาของนักวิจัยในต่างประเทศพบว่า การหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนินยังมีผลต่อสรีรวิทยาที่เกี่ยวข้องกับความดันโลหิต สภาวะสมดุลของกลูโคส รวมถึงอุณหภูมิของร่างกาย อย่าง ไรก็ตาม นักวิจัยคาดว่า ในอนาคตจะมีการศึกษาต่อไปถึงการปล่อยให้เด็กนอนหลับโดยเปิดไฟทิ้งไว้ จะส่งผลต่อพัฒนาการของตา โดยเสี่ยงต่อการมีสายตาสั้นหรือไม่ด้วย
ดังนั้น การควบคุมเรื่องแสงสว่างไม่ให้มารบกวนยามหลับ รวมถึงการจัดห้องให้ปลอดโปร่งเอื้อต่อการพักผ่อนอย่างมีคุณภาพ จึงสามารถป้องกัน และชะลอสภาวะการทำงานของสมองไม่ให้เสื่อมลงได้
สิวบอกอารมณ์และโรคร้าย
ตำแหน่งสิว บนผิวหน้า บ่งบอกอารมณ์และโรคร้ายได้อย่างคาดไม่ถึง (ไทยโพสต์)
สีหน้าและแววตา ใช้สื่อถึงความรู้สึกและอารมณ์ต่างๆ ได้ แต่ผิวหน้าของคนเราก็สามารถสื่อถึงสุขภาพภายในร่างกายได้เหมือนกัน
วิธีการสังเกตถึงสุขภาพภายในร่างกายของเราหรือของคนใกล้ตัวเรานั้น ด้วยศาสตร์ใหม่จากการวิเคราะห์สภาพผิว Face Mapping กระบวนการพิสูจน์และวิเคราะห์สภาพผิวด้วยศาสตร์ตะวันออก ซึ่งเป็นหนึ่งในปรัชญาความคิดเบื้องต้นที่ว่า "ผิวหน้าสามารถบ่งบอกได้ถึงสุขภาพภายในร่างกายที่มีผลกระทบต่อผิวพรรณ" ทำให้เข้าใจได้ถึงสาเหตุการเกิดปัญหาสุขภาพผิว
ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพผิว จากศูนย์สุขภาพผิวเลียวนาร์ด เดรก ได้นำเสนอแนวทางการป้องกันโดยมีหลักในการวิเคราะห์สภาพผิวแบบ Face Mapping นั้นจะเป็นการวิเคราะห์สภาพผิวที่ละเอียดกว่าการวิเคราะห์ผิวโดยทั่วไป โดยแบ่งส่วนใบหน้า ลำคอ และแผ่นอกออกเป็น 4 โซน
โซนที่ 1 และโซนที่ 3 ถ้ามีปัญหาสิวบริเวณนี้ คุณอาจมีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร ดังนั้นอาจต้องดื่มน้ำมากขึ้นหรือทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
โซนที่ 2 สิวบริเวณหว่างคิ้ว เกี่ยวกับตับ อาจมีปัญหาในการย่อยแลคโทส (ดื่มนมไม่ได้) การทานอาหารรสจัดหรือทานอาหารดึกเกินไป
โซนที่ 4 และโซนที่ 10 ผิวบริเวณหูนี้เป็นผลพวงของไต หากรู้สึกร้อนที่หู คุณอาจต้องลดการรับประทานเนื้อสัตว์ลง
โซนที่ 5 และโซนที่ 9 บริเวณแก้มทั้งสองด้าน โดยแก้มส่วนบนจะเกี่ยวข้องกับไซนัสและปอด ส่วนแก้มส่วนล่าง เหงือกและฟัน สาเหตุอาจเป็นเพราะสูบบุหรี่จัด หรือแพ้ควันบุหรี่ ภูมิแพ้ เป็นหวัดเรื้อรัง หรืออาจใช้บลัชออนและรองพื้นไม่เหมาะสม ถ้าเป็นริ้วรอยลึกบริเวณโหนกแก้มอาจบ่งบอกถึงปัญหาเรื่องปอดหรือการหายใจ ถ้ามีสิวแบบเป็นๆ หายๆ ที่แก้มด้านล่างอาจมีปัญหาเรื่องเหงือกและฟัน หรือโทรศัพท์มือถือไม่สะอาด
โซนที่ 6 และโซนที่ 8 ตำแหน่งรอบดวงตาทั้ง 2 ข้าง เกี่ยวข้องกับไต และปัญหาภูมิแพ้ สาเหตุมาจากเครื่องสำอางที่ใช้อยู่ อาจไม่เหมาะสม หรือใส่แว่นตาที่เสียดสีมาก รอยคล้ำอาจเกิดจากการมีสารพิษตกค้างในร่างกายมาก หรือพักผ่อนน้อย เปลือกตาหากมีความระคายเคือง อาจมาจากการเป็นภูมิแพ้ หรือขาดสารอาหาร
โซนที่ 7 ผิวบริเวณจมูกและริมฝีปาก แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หากมีสิวบริเวณนี้อาจหมายถึงผลกระทบของการตั้งครรภ์ การมีประจำเดือน การรับประทานยาคุมกำเนิด
โซนที่ 11 และโซนที่ 13 หากผิวบริเวณนี้แตกระแหง สามารถบอกได้ว่าคุณกำลังมีปัญหาของฟันกราม หรือปัญหาเกี่ยวกับฟัน
โซนที่ 12 สิวเรื่อๆ บริเวณคางนี้ สามารถบ่งบอกได้ว่าคุณกำลังมีปัญหาเรื่องลำไส้เล็ก ที่มีผลจากการรับประทานของเผ็ด
โซนสุดท้ายโซนที่ 14 หากคุณมีสิวบริเวณนี้แล้วล่ะก็ แสดงว่าคุณกำลังเครียดสูง
นี่เป็นเพียงแค่รายละเอียดเพียงเล็กน้อยของการวิเคราะห์สภาพผิวหน้าที่ทำให้รู้ได้ถึงสุขภาพภายในร่างกาย ซึ่งจะทำให้เราทราบได้ว่าจะต้องดูแลบำรุงทั้งสุขภาพภายในและภายนอกอย่างไร เพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพียงแค่นี้คุณก็จะมีทั้งสีหน้า แววตาและผิวพรรณที่เป็นสุขได้แล้ว
สีหน้าและแววตา ใช้สื่อถึงความรู้สึกและอารมณ์ต่างๆ ได้ แต่ผิวหน้าของคนเราก็สามารถสื่อถึงสุขภาพภายในร่างกายได้เหมือนกัน
วิธีการสังเกตถึงสุขภาพภายในร่างกายของเราหรือของคนใกล้ตัวเรานั้น ด้วยศาสตร์ใหม่จากการวิเคราะห์สภาพผิว Face Mapping กระบวนการพิสูจน์และวิเคราะห์สภาพผิวด้วยศาสตร์ตะวันออก ซึ่งเป็นหนึ่งในปรัชญาความคิดเบื้องต้นที่ว่า "ผิวหน้าสามารถบ่งบอกได้ถึงสุขภาพภายในร่างกายที่มีผลกระทบต่อผิวพรรณ" ทำให้เข้าใจได้ถึงสาเหตุการเกิดปัญหาสุขภาพผิว
ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพผิว จากศูนย์สุขภาพผิวเลียวนาร์ด เดรก ได้นำเสนอแนวทางการป้องกันโดยมีหลักในการวิเคราะห์สภาพผิวแบบ Face Mapping นั้นจะเป็นการวิเคราะห์สภาพผิวที่ละเอียดกว่าการวิเคราะห์ผิวโดยทั่วไป โดยแบ่งส่วนใบหน้า ลำคอ และแผ่นอกออกเป็น 4 โซน
โซนที่ 1 และโซนที่ 3 ถ้ามีปัญหาสิวบริเวณนี้ คุณอาจมีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร ดังนั้นอาจต้องดื่มน้ำมากขึ้นหรือทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
โซนที่ 2 สิวบริเวณหว่างคิ้ว เกี่ยวกับตับ อาจมีปัญหาในการย่อยแลคโทส (ดื่มนมไม่ได้) การทานอาหารรสจัดหรือทานอาหารดึกเกินไป
โซนที่ 4 และโซนที่ 10 ผิวบริเวณหูนี้เป็นผลพวงของไต หากรู้สึกร้อนที่หู คุณอาจต้องลดการรับประทานเนื้อสัตว์ลง
โซนที่ 5 และโซนที่ 9 บริเวณแก้มทั้งสองด้าน โดยแก้มส่วนบนจะเกี่ยวข้องกับไซนัสและปอด ส่วนแก้มส่วนล่าง เหงือกและฟัน สาเหตุอาจเป็นเพราะสูบบุหรี่จัด หรือแพ้ควันบุหรี่ ภูมิแพ้ เป็นหวัดเรื้อรัง หรืออาจใช้บลัชออนและรองพื้นไม่เหมาะสม ถ้าเป็นริ้วรอยลึกบริเวณโหนกแก้มอาจบ่งบอกถึงปัญหาเรื่องปอดหรือการหายใจ ถ้ามีสิวแบบเป็นๆ หายๆ ที่แก้มด้านล่างอาจมีปัญหาเรื่องเหงือกและฟัน หรือโทรศัพท์มือถือไม่สะอาด
โซนที่ 6 และโซนที่ 8 ตำแหน่งรอบดวงตาทั้ง 2 ข้าง เกี่ยวข้องกับไต และปัญหาภูมิแพ้ สาเหตุมาจากเครื่องสำอางที่ใช้อยู่ อาจไม่เหมาะสม หรือใส่แว่นตาที่เสียดสีมาก รอยคล้ำอาจเกิดจากการมีสารพิษตกค้างในร่างกายมาก หรือพักผ่อนน้อย เปลือกตาหากมีความระคายเคือง อาจมาจากการเป็นภูมิแพ้ หรือขาดสารอาหาร
โซนที่ 7 ผิวบริเวณจมูกและริมฝีปาก แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หากมีสิวบริเวณนี้อาจหมายถึงผลกระทบของการตั้งครรภ์ การมีประจำเดือน การรับประทานยาคุมกำเนิด
โซนที่ 11 และโซนที่ 13 หากผิวบริเวณนี้แตกระแหง สามารถบอกได้ว่าคุณกำลังมีปัญหาของฟันกราม หรือปัญหาเกี่ยวกับฟัน
โซนที่ 12 สิวเรื่อๆ บริเวณคางนี้ สามารถบ่งบอกได้ว่าคุณกำลังมีปัญหาเรื่องลำไส้เล็ก ที่มีผลจากการรับประทานของเผ็ด
โซนสุดท้ายโซนที่ 14 หากคุณมีสิวบริเวณนี้แล้วล่ะก็ แสดงว่าคุณกำลังเครียดสูง
นี่เป็นเพียงแค่รายละเอียดเพียงเล็กน้อยของการวิเคราะห์สภาพผิวหน้าที่ทำให้รู้ได้ถึงสุขภาพภายในร่างกาย ซึ่งจะทำให้เราทราบได้ว่าจะต้องดูแลบำรุงทั้งสุขภาพภายในและภายนอกอย่างไร เพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพียงแค่นี้คุณก็จะมีทั้งสีหน้า แววตาและผิวพรรณที่เป็นสุขได้แล้ว
เกร็ดความรู้เรื่องดวงตา
เกร็ดความรู้เรื่องดวงตา (womanplus)
รู้หรือไม่ว่าผิวที่มีอาการแพ้ระคายเคือง บวมแดง และมีริ้วรอยที่เกิดขึ้นจาก "ธาตุไฟไม่สมดุล" สามารถเกิดขึ้นเช่นกันกับผิวละเอียดอ่อนบริเวณรอบดวงตา อาการธาตุไฟไม่สมดุลนี้สามารถกระตุ้นให้เกิดขึ้นได้ง่าย โดยอากาศและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่รายล้อมอยู่รอบตัวเรา รวมทั้งปัจจัยความเครียด และความเหนื่อยล้าจากการพักผ่อนไม่เพียงพอเป็นสาเหตุสำคัญ อาการจะแสดงออกมาในรูปแบบของความหมองคล้ำ บวมแดงอย่างเห็นได้ชัดกว่าบริเวณอื่นๆ
ทั้งนี้เพราะผิวบริเวณรอบดวงตานั้นมีความละเอียดอ่อน และบอบบางมากกว่าผิวในบริเวณอื่นๆ และยังเป็นบริเวณที่มีเส้นประสาทและเซลล์ต่างๆ อยู่เป็นจำนวนมาก ที่ไวต่อการร่วงโรยและถูกทำร้ายได้ง่าย และคุณรู้อีกหรือไม่ว่า คุณเองอาจจะทำร้ายผิวบริเวณรอบดวงตาให้ช้ำ หมองคล้ำมากขึ้น เพราะการทำความสะอาดผิวหรือเมคอัพรอบดวงตาก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำร้ายผิวแสนบอบบาง
เคล็ดลับคงความอ่อนเยาว์ของดวงตาจาก ดร.แอนดรูว์ ไวล์
เข้ารับการตรวจตาเป็นประจำทุกๆ 2-4 ปี และทุกๆ 1-2 ปี สำหรับอายุ 65 ปีขึ้นไปสำหรับผู้ที่ต้องจ้องหน้าคอมพิวเตอร์เป็นประจำ เริ่มฝึกนิสัยในการพักสายตาโดยการมองออกไปไกลๆ ทุกๆ 10-15 นาที สวมใส่แว่นตาดำที่สามารถปกป้อง และกรองแสงยูวี ทุกๆ ครั้งที่ทำกิจกรรมกลางแจ้งปกป้องและระวังไม่ให้ดวงตาสัมผัสควัน และฝุ่นละอองต่างๆ โดยตรง
อาหารเสริมเพื่อดวงตาสดใส
บริโภคผัก ผลไม้ ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ (anti oxidant) ในปริมาณสูง
เช่น ผิวบิลเบอร์รี่ ผักใบเขียว และแครอท ช่วยลดอันตรายจากอนุมูลอิสระในแสงแดดที่ทำลายจอตา และช่วยลดปัญหาตาบอดจากจอประสาทตาเสื่อมได้ พร้องทั้งช่วยให้สายตาทำงานดีขึ้นในที่มืดและมีความไวในที่มีแสงน้อยๆ ดีกว่า
บริโภคผัก ผลไม้ ที่มาสรลูทีน (Lutien) และซีแซนทีน (Zeaxanthin)
เป็นสารแคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่งมีสีเหลือง พบมากในพืชผักที่มีสีเหลืองและสีเขียวเข้ม ที่สามารถพบได้ในผลอโวคาโด บล็อกโคลี่ ข้าวโพด ฟักทอง ผักโขม และผักกวางตุ้ง เป็นสารธรรมชาติที่พบมากในตาบริเวณจุดรับภาพและจอประสาทตาทำหน้าที่ช่วยกรองหรือป้องกันรังสีจากแสงแดด ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตาไม่ให้ถูกทำลายโดยการต้านอนุมูลอิสระที่ทำลายดวงตา และกรองแสงสีน้ำเงินที่จะทำลายดวงตา
บริโภคสารสกัดของโอเมก้า 3 หรือรับประทานปลาชนิดต่างๆ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)